by admin on November 29, 2017
คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติให้ 4 คดีความผิดทางอาญา เป็นคดีพิเศษ
ประกาศกรมสอบสวนคดีพิเศษ
เรื่อง มติคณะกรรมการคดีพิเศษให้คดีความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ
——————————–
ด้วยคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และที่ประชุมได้มีมติตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง (๒) ประกอบมาตรา ๑๐ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ให้การกระทําความผิดทางอาญาเป็นคดีพิเศษที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวน คดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ จํานวน ๔ เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ ๑ กรณี กล่าวหาว่ามีขบวนการฟอกเงินเกี่ยวกับการทุจริตในการทําธุรกรรมทางการเงิน ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สํานักงาน สกสค.) กับบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จํากัด กับพวก
เรื่องที่ ๒ กรณี กล่าวหาว่าสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เชนลิสซิ่ง จํากัด มีพฤติการณ์เข้าข่าย ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและหลีกเลี่ยงภาษีอากร
เรื่องที่ ๓ กรณี บริษัท เอ็ม-แลนดาร์ช จํากัด กับพวก ได้ร่วมกันฉ้อโกงหรือลวงขายเครื่อง ตรวจหาสารเสพติดยี่ห้ออัลฟ่า ๖ (ALPHA6) ที่ไม่มีประสิทธิภาพให้กับกรมยุทธการทหาร กองบัญชาการ กองทัพไทย
เรื่องที่ ๔ กรณี ขบวนการฟอกเงินอันเนื่องมาจากการทุจริตสัญญาระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ตามโครงการรับจํานําข้าว ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ – ๒๕๕๕
ประกาศ ณ วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
***ทนายความที่สามารถให้คำปรึกษาและว่าความคดีอาญาในประเทศไทยของสำนักงานทนายความชนินาฎ แอนด์ ลีดส์ มีประสบการณ์หลายสิบปีในคดีฉ้อโกงประชาชน และเชี่ยวชาญในคดีไทยและนานาชาติที่ประสบความสำเร็จ***
ที่มา: ราชกิจจานุเบกษา
by admin on November 6, 2017
ผิดกฎหมาย: รับจ้างอุ้มบุญ ซื้อขายอสุจิ ตัวอ่อน ไข่ หรือเป็นนายหน้า
หลังจากประเทศไทย มี พระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๘ บังคับใช้
เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี ทางการแพทย์ในการบําบัดรักษาภาวะการมีบุตรยากสามารถช่วยให้ผู้ที่มีภาวะการมีบุตรยากมีบุตรได้โดยการใช้ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ อันมีผลทําให้บทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ในเรื่องความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ไม่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ในทางพันธุกรรม ดังนั้น เพื่อกําหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วย กฎหมายของเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ให้เหมาะสม ตลอดจนควบคุม การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับตัวอ่อนและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์มิให้มี การนําไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ตาม “มาตรา ๒๔ ห้ามมิให้ผู้ใดดําเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า” ซึ่งทำให้ การรับจ้างอุ้มบุญ ซื้อขายอสุจิ ตัวอ่อน ไข่ หรือเป็นนายหน้าเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศไทย
***ทนายความที่สามารถให้คำปรึกษาการอุ้มบุญโดยถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยของสำนักงานทนายความชนินาฎ แอนด์ ลีดส์ มีประสบการณ์หลายสิบปีในคดีครอบครัว และเชี่ยวชาญในคดีไทยและนานาชาติที่ประสบความสำเร็จ***
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เตือนประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายอุ้มบุญอย่างเคร่งครัด หากพบการโฆษณา หรือการโพสต์ข้อมูลที่เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย ทั้งรับจ้างอุ้มบุญ ซื้อขาย อสุจิ ไข่ ตัวอ่อน หรือเป็นนายหน้า จะดำเนินการลงเอาผิดตามกฎหมายโดยไม่ละเว้นแต่อย่างใด
นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศประเทศที่มีเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย และมีอัตราความสำเร็จจากการรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ค่อนข้างสูง ทำให้นานาประเทศเกิดความมั่นใจ และต้องการรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ กับแพทย์และสถานพยาบาลของประเทศไทย ดังนั้น เพื่อช่วยให้คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีบุตรยากได้มีบุตรตามต้องการโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ กำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และควบคุมการศึกษาวิจัย มิให้มีการนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงร่วมตรากฎหมาย พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ขึ้น โดยมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา
แต่ด้วยในยุคดิจิตอลที่หลายคนสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต และสื่อโซเชียลได้โดยง่าย ยิ่งต้องระวังเพราะอาจจะมีการเผยแพร่ข้อมูลหรือโพสต์ข้อความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายผ่านสื่อโซเชียล ทั้งการรับจ้าง หรือจ้างวานให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) การเสนอขายไข่ อสุจิ ตัวอ่อน หรือเป็นนายหน้าให้มีการอุ้มบุญเพื่อประโยชน์ทางการค้า ซึ่งการกระทำดังกล่าวล้วนผิดกฎหมาย และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ร่างกาย อาทิ การขายไข่จะส่งผลให้ผู้ที่ขายไข่มีโอกาสติดเชื้อ ตกเลือด มีโอกาสแทรกซ้อนเสียชีวิตจากการกระตุ้นไข่ และส่งผลให้ในอนาคตมีลูกยากอีกด้วย ดังนั้น เพื่อป้องปรามมิให้เกิดการกระทำผิดกฎหมาย รวมทั้งคุ้มครองสุขภาพ ความปลอดภัยของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน และเด็กที่เกิดโดยเทคโนโลยีฯ ให้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม กรม สบส.ขอเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากมีการให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนจะต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กคทพ.) ซึ่งผู้ที่มีสิทธิ์ขออนุญาตจะต้องเป็นคู่สมรสชาวไทยที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หรือคนไทยที่สมรสกับชาวต่างชาติอย่างน้อย 3 ปีเท่านั้น หากผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมาย กรม สบส.จะดำเนินการลงโทษตามกฎหมายโดยไม่ละเว้นแต่อย่างใด
ด้าน ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ (สพรศ.) กล่าวว่า สำหรับบทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 จะแบ่งตามลักษณะการกระทำผิด อาทิ หากผู้ใดรับจ้างอุ้มบุญ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท, กระทำการซื้อ ขายอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, เป็นนายหน้า ชี้ช่องทางให้มีการรับตั้งครรภ์แทน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และโฆษณาหรือไขข่าวให้แพร่หลายว่ามีหญิงประสงค์รับตั้งครรภ์ หรือมีบุคคลที่ประสงค์ให้หญิงอื่นรับตั้งครรภ์แทน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ กรม สบส.ขอความร่วมมือประชน หากพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายการรับจ้างอุ้มบุญ ซื้อขาย อสุจิ ไข่ ตัวอ่อน หรือเป็นนายหน้าโดยบุคคลหรือสถานพยาบาลใดก็ตาม ให้แจ้งเบาะแสมาที่กลุ่มคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ สพรศ. หมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7000 ต่อ 18419, เฟซบุ๊คสารวัตรสถานพยาบาลออนไลน์ และกองกฎหมาย หมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7000 ต่อ 18830, เฟซบุ๊คมือปราบสถานพยาบาลเถื่อน ในวันและเวลาราชการเพื่อป้องปรามการกระทำผิดต่อไป *********** 5 พฤศจิกายน 2560
ที่มา: กลุ่มประชาสัมพันธ์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ